คณะนิเทศศาสตร์ จัดการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (KM) ด้านการเรียนการสอน
หัวข้อ “การใช้ Hybrid Technology เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนทางนิเทศศาสตร์”
การดำเนินงาน KM ปีการศึกษา 2562 คณะนิเทศศาสตร์ ดำเนินโครงการแลกเปลี่ยนรู้ ตามพันธกิจด้านการผลิตบัณฑิต/การเรียนการสอนสำเร็จลุล่วง โดยคณะกรรมการ KM คณะนิเทศศาสตร์ ประชุมเพื่อหารือ และมติร่วมกันเพื่อกำหนดหัวข้อ/ความรู้ที่ต้องการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จนสรุปร่วมกันได้ว่า คณะนิเทศศาสตร์ มีอาจารย์ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ทักษะการใช้เครื่องมือสมัยใหม่ เครื่องมือการสอนผ่านสื่อออนไลน์สำหรับการเรียนการสอนทางนิเทศศาสตร์อยู่แล้ว อาทิ ดร.รจนา พึ่งสุข อ.รชิดา สิริดลลธี อ.บริรักษ์ บุณยรัตพันธ์ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องดังกล่าวจากผู้แบ่งปันความรู้ที่มีความรู้ในตนพร้อมใช้ จึงกำหนดให้มีการประชุม KM หัวข้อ “การใช้ Hybrid Technology เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนทางนิเทศศาสตร์” จัดจำนวน 5 ครั้งระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2562 ถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 เวลา 13.00-16.30 น. ณ ห้องประชุม KM คณะนิเทศศาสตร์ ชั้น 11 อาคารเกษมนครา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ร่มเกล้า มี อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จำนวน 23 คนเข้าร่วมประชุม วิทยากรเป็นอาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ที่เชี่ยวชาญด้านการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน คือ อ.ดร.รจนา พึ่งสุข และอ.รชิดา สิริดลลธี ผลการดำเนินงานพบว่า อาจารย์ที่เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จำนวนมากกว่าร้อยละ 50 มีซึ่งมีทั้งอาจารย์ที่ใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอนมาก่อนหน้านี้และอาจารย์ที่สนใจทดลองใช้แลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกันและเห็นตรงกันว่าการใช้เทคนิคการสอนแบบผสมผสานกับเทคโนโลยีน่าจะทำให้นักศึกษาสนใจเนื้อหาการเรียนมากขึ้นและเหมาะกับศาสตร์ด้านนิเทศศาสตร์มาก แต่ก็ต้องเตรียมความพร้อมให้กับผู้เรียนพอสมควรและต้องคำนึงถึงคุณลักษณะกับปัจจัยสนับสนุนผู้เรียนที่แตกต่างกันร่วมด้วย
สรุปองค์ความรู้ที่ได้
องค์ความรู้ด้านการใช้ “การใช้ Hybrid Technology เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนทางนิเทศศาสตร์” สรุปได้ดังนี้
- เทคโนโลยีการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Hybrid Learning/Blended Learning) มีประโยชน์และเหมาะกับการเรียนการสอนทางนิเทศศาสตร์ที่กำหนดไว้ให้หลายวิชาในหลักสูตรต้องมีการฝึกปฏิบัติในชั้นเรียนและนำเสนอผลงานผ่านภาพเสียงความเคลื่อนไหวค่อนข้างมาก รวมถึงการที่ผู้สอนต้องนำตัวอย่างหรือกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องกับ media และ content มาประกอบการสอนค่อนข้างมาก
- การจัดการสอนแบบ Hybrid เน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์ในการเรียน (Interactive learning) ระหว่างผู้เรียนด้วยกันหรือผู้เรียนกับผู้สอนใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัตกรรมการเรียนการสอนมาสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Active learning / Hybrid learning)
- รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ผสมผสานระหว่างการสอนในชั้นเรียน (Face-to-Face) กับการสอนแบบ e-Learning โดยนำส่วนที่ดีที่สุด (Best features) ของการสอนทั้งสองแบบมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน
- การเรียนแบบHybrid คือ การเรียนในห้องเรียน+เรียนออนไลน์
- การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ Hybrid โดยผ่าน platform ต่างๆ ผู้สอนต้องทำการวางแผน และออกแบบเรื่องระบบการจัดห้องเรียน และระบบสื่อสาร ระบบการจัดเก็บข้อมูล การออกแบบบทเรียนและเนื้อหาการเรียนการสอน ระบบการส่งงาน ระบบการวัดและประเมินผล เป็นต้น โดยต้องทำให้ชัดเจนและแจ้งไปยังผู้เรียนให้ทราบด้วย
- ระบบการจัดห้องเรียน เช่น การใช้ Edmodo ซึ่งเป็นระบบการเรียนรู้ที่ผสมผสานระหว่างการใช้ e-Learning กับ Social Network และเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่
- การกำหนดบทเรียนที่จะใช้ในการเรียนการสอนสามารถผ่านไฟล์ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ไฟล์เอกสารที่เป็น word power point หรือ PDF file ส่วนไฟล์ภาพและเสียง (VDO) ก็สามารถนำมาใช้เป็นบทเรียนประกอบการสอนได้เช่น youtube และ ISSUU
- การใช้ ISSUU เป็นการนำบทเรียนที่ผลิตเป็นเอกสารสิ่งพิมพ์ที่มีอยู่แล้วบรรจุลงไปใน electronic platform หรือในรูปแบบที่เป็น electronic document ทั้งนี้ ความแตกต่างกันของสื่อสิ่งพิมพ์กับ Digital Publishing คือ สิ่งพิมพ์เนื้อหาจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และความสมบูรณ์ของเนื้อหาจะถูกจำกัดในตัวเองเมื่อถูกพิมพ์ออกมาวางขายแล้ว และไม่มี Interactivity การเชื่อมโยงเนื้อหาอ้างอิงต้องอาศัยอุปกรณ์ประกอบภายนอก ในขณะที่ Digital Publishing รูปแบบเนื้อหาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยการอัพเดทข้อมูลและสามารถใช้รูปแบบของ Web เข้ามาเชื่อมต่อ มี Interactivity ที่สามารถตอบสนองกับผู้ใช้งานได้อย่างดี การเชื่อมโยงเนื้อหาใช้ Hyperlink สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายและฉับไว (อ้างประกอบจาก https://www.thumbsup.in.th/how-do-you-know-digital-publishing)
- สำหรับระบบการจัดเก็บข้อมูลสามารถจัดเก็บลง Google Drive ได้
- นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือเพื่อจัดการเรียนการสอนแบบ Hybrid ยังสามารถใช้ผ่าน Google Classroom ได้ ซี่งมีประโยชน์ คือ สามารถจัดเก็บไฟล์งานให้อย่างเป็นระบบ ภายใต้ Folder ที่ถูกจัดไว้เป็นหมวดหมู่แล้ว สามารถสร้างเทมเพลต Assignment ทำสำเนาให้กับนักเรียนนักศึกษาแต่ละคนได้ สั่งงานและกำหนดวันส่งการบ้านได้ ตรวจงาน และให้คะแนนสะดวก และประหยัดเวลาเช็คได้ว่าใครยังไม่ส่งงาน
- การใช้ Hybrid Technology เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนทางนิเทศศาสตร์ ยังสามารถใช้ผ่าน รูปแบบที่เรียกว่าClass 123 ได้อีกทางหนึ่งด้วย Class 123 เป็นเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการชั้นเรียน เชื่อมต่อระหว่างอาจารย์ นักศึกษาและผู้ปกครองได้ และใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา
- Class 123 เป็นเทคโนโลยีการเรียนการสอนที่นำมาผสมผสานกับการเรียนทั้งระบบออนไลน์และในห้องเรียนไปพร้อมๆ กันได้ โดยทำหน้าที่ได้หลายอย่าง เช่น ระบบเชคชื่อนักศึกษา / ให้คะแนน-หักคะแนน สร้างการแข่งขันในการเรียนหรือเก็บคะแนนสะสมในชั้นเรียน เป็นเครื่องมือจับเวลาสำหรับทำกิจกรรมในชั้นเรียน เครื่องมือสุ่ม จับกลุ่ม แบ่งกลุ่มการทำงานของนักศึกษา มีระบบแจ้งเตือนให้ในการควบคุมกิจกรรมในชั้นเรียน ใช้เป็นกระดานอิเล็กทรอนิกส์ สร้างโพสต์ประกาศข่าวต่างๆ
- สามารถตรวจสอบคะแนนจากงานที่มอบหมายนักศึกษา สามารถรายงานสรุปผลดาวนโ์หลดเป็นไฟล์ Excel
- สรุป เทคโนโลยีการเรียนการสอนแบบไฮบริด เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่สามารถสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้แบบผสมผสานก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ (Interactive) ระหว่างผู้เรียน และผู้สอนได้เป็นอย่างดี เหมาะสมกับการเรียนรู้ทางนิเทศศาสตร์ที่ต้องอาศัยเครื่องมือและข้อมูลประกอบการเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Social Network) เป็นการนำเอารูปแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในชั้นเรียนปกติ (Traditional face-to-face classroom) มาผสมผสานกับรูปแบบกิจกรรมการเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (e-Learning) ในลักษณะการสื่อสารแบบประสานเวลา (Synchrous Mode) โดยภาษาอังกฤษเรียกว่า Hybrid Learning/Blended Learning
สำหรับอาจารย์ หรือเจ้าหน้าที่ท่านใดสนใจจะเรียนรู้และพัฒนาเรื่องนี้ต่อไปสามารถแลกเปลี่ยนความรู้เพิ่มเติมกับอาจารย์ในคณะที่ทดลองใช้การเรียนการสอนแบบ Hybrid Technology ได้ คือ อ.ดร.รจนา พึ่งสุข อ.รชิดา สิริดลลธี และอ.บริรักษ์ บุณยรัตพันธ์
ผศ.ดร.นิภากร กำจรเมนุกูล
ผู้บันทึกและสรุปองค์ความรู้
ภาพกิจกรรมการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ด้านการการเรียนการสอน คณะนิเทศศาสตร์
——————————————————————
คณะนิเทศศาสตร์ จัดการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (KM) ด้านการวิจัย
หัวข้อ“แนวทางการทำวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาชุมชน” ประจำปีการศึกษา 2563
ผลการดำเนินงาน KM การวิจัย หัวข้อ“แนวทางการทำวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาชุมชน”จัดจำนวน 5 ครั้งระหว่างวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 เวลา 13.00-16.30 น. ณ ห้องประชุม KM คณะนิเทศศาสตร์ ชั้น 11 อาคารเกษมนครา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ร่มเกล้า มีอาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 28 คน มากกว่าร้อยละ 50 วิทยากรแบ่งปันความรู้คืออาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ที่มีประสบการณ์ด้านการทำวิจัยกับชุมชนในพื้นที่ คือ ผศ.ดร.ณัฐพงค์ แย้มเจริญ และผศ.สิริวิมล เทพหัสดิน ผลการดำเนินงานพบว่า อาจารย์ที่เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้มีความเข้าใจการทำวิจัยเชิงพื้นที่ที่เน้นให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชนมากขึ้น แต่เห็นว่าคณะต้องมีเครือข่ายในพื้นที่ที่หลากหลายกลุ่มและรักษาต่อยอดเครือข่ายให้ได้ และควรดึงนักศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เพราะการทำวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาชุมชนเป็นการทำวิจัยเชิงพื้นที่ที่จะมีลักษณะเป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) /วิจัยแบบมีส่วนร่วมเชิงปฏิบัติการ (Participatory Action Research: PAR) และสามารถประยุกต์เข้ากับการให้บริการวิชาการของคณะกับชุมชนร่วมด้วย ซึ่งน่าจะทำให้เกิดผลการวิจัยที่สอดคล้องกับแนวทางมาตาฐานการอุดมศึกษาใหม่ ที่เน้นบทบาทของคณะตามอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ และบริบทของสถาบัน โดยเฉพาะด้านผลลัพธ์ที่เกิดจากงานวิจัย งานสร้างสรรค์หรือนวัตกรรมที่เมื่อทำแล้วสามารถนำผลไปใช้ประโยชน์พัฒนาผู้เรียน ชุมชน สังคม องค์กรรัฐ/เอกชน และเป็นการบริการวิชาการแก่ชุมชน ได้อีกทางหนึ่งด้วย
สรุปองค์ความรู้ที่ได้
การประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หัวข้อ“แนวทางการทำวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาชุมชน” สรุปองค์ความรู้ ได้ดังนี้
- บริบทของมหาวิทยาลัยได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะและประเด็นของการวิจัยก็ยังไปประเด็นที่สำคัญที่จะต้องอยู่คู่กับมหาวิทยาลัยต่อไป เพียงแต่ว่ารูปแบบของการวิจัยอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากพอสมควร โดยเฉพาะรูปแบบวิจัยที่ทางอาจารย์จะถนัดกันมากๆ คือรูปแบบการวิจัยโดยการลงพื้นที่ของชุมชน โดยการลงพื้นที่ทำวิจัยนี้จะเป็นการพัฒนาไปในด้านอื่น ๆ ด้วยและมีความยังยืนมากยิ่งขึ้น
- การลงพื้นที่วิจัยยังเป็นการประชาสัมพันธ์และการสร้างภาพลักษณ์ให้กับคณะนิเทศศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตอีกทางหนึ่ง โดยคณาจารย์ในคณะก็ต้องมีภาระงานที่มาเป็นคู่ขนานกับการเรียนการสอน
- การทำงานวิจัยในลักษณะนี้จะต้องทำงานเป็นทีมเพื่อให้งานออกมามีผลการวิจัยที่นำไปใช้ในพื้นที่ได้จริง สามารถพัฒนาสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนในชุมชนหรือพื้นที่ได้
- แนวทางการทำวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาชุมชนเพื่อจะเอาผลจากการวิจัยมาใช้กับชุมชน และการที่จะนำเอาการวิจัยมาใช้นั้นก็จะทำได้หลายรูปแบบ
- การทำวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน ผู้ทำวิจัยจะต้องมีชุมชนก่อนและอยากจะศึกษาหรือทำวิจัยกับชุมชนไหน ซึ่งชุมชนนั้นอาจจะลักษณะที่น่าสนใจ หรือมีลักษณะเฉพาะบางอย่างที่ผู้ทำวิจัยอยากที่จะเข้าไปศึกษาชุมชนนั้น ๆ หรือเพื่อการพัฒนาชุมชน และกลุ่มชุมชนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเป็นชุมชนต่างจังหวัด อาจจะมีเป็นชุมชนใกล้ๆ ในกรุงเทพฯ ก็ได้ถ้าผู้วิจัยเลือกแล้วว่าเป็นชุมชนที่น่าสนใจ แล้วผู้วิจัยทำไปเพื่ออะไร เช่น ชุมชนนั้นๆ อาจมีปัญหาแล้วอยากได้รับการแก้ไข หรืออาจจะทำอย่างไรให้ชุมชนยั่งยืนและมีความเข้มแข็งได้อย่างไร และผู้วิจัยก็ได้นำเอาผลที่ออกมาไปใช้แล้วทำให้ดีขึ้น และบางชุมชนก็มีความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว เช่น ชุมชนมุสลิม ก็สามารถอยู่ได้โดยใช้เศรษฐกิจพอเพียง หรือใช้ศาสตร์ของพระราชา แต่มองว่าจะอยู่ไปได้นานแค่ไหน และจะยังคงอยู่ในแบบเศรษฐกิจพอเพียงแบบนั้นได้อย่างไร และด้วยในปัจจุบันก็มีสื่อออนไลน์อุปกรณ์การสื่อสารใหม่ ๆ เข้ามาแล้วจะรักษาวัฒนธรรมแบบเดิมๆ ไว้ได้ไหม เพราะบางชุมชนก็จะมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง เป็นเหตุที่จะต้องทำการศึกษาและวิจัยค้นคว้าขึ้นมา เพื่อที่จะหาวิธีการอย่างไรให้ชุมชนนั้นๆ ยังคงอยู่ต่อไปได้อย่างไร บางชุมชนก็มีวัฒนธรรมของตนเองชัดเจน แต่คนข้างนอกรู้จักหมดเลย แต่ชุมชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง หรือที่อยู่พื้นที่ใกล้ๆ กันไม่รู้จัก เลยทำให้เกิดปัญหาว่าจะทำอย่างไรให้ชุมชนที่อยู่บริเวณนั้น ๆ ได้รู้จัก
- เนื่องจากเราเป็นนิเทศศาสตร์ ก็จะต้องใช้ในเรื่องของการสื่อสารเข้ามาเป็นตัวช่วยการสื่อสารเพื่อพัฒนาชุมชนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามรูปแบบที่กำลังจะเปลี่ยนไป และการศึกษาวิจัยนั้นก็เพื่อนำเอาผลมาใช้ต่อ อาจจะทำแบบประเมินผลก็ได้ หรือการรณรงค์ การทำโครงการนำร่องเพื่อออกแบบไปสำรวจชุมชน เพื่อนำเอาข้อมูลประเมินว่าจะทำการในรูปแบบอย่างดีได้บ้าง
- การทำวิจัยนั้นจะต้องมีแหล่งทุน ถ้ากรณีที่มีการขอทุนวิจัยที่เป็นการพัฒนาต่าง ๆ ในหน่วยงานที่เป็นระดับประเทศหรือแหล่งอื่นก็ตามก็จะมีการกำหนดกรอบมาให้ผู้วิจัยว่าต้องการที่จะให้พัฒนาชุมชนนี้หรือว่าต้องการให้พัฒนาเกี่ยวกับเรื่องของอะไร ก็อาจจะมีเหมือนโจทย์ใหญ่ ๆ มาให้ และให้ผู้วิจัยดูตามกรอบวิจัยตรงนั้นได้ และอีกอย่างหนึ่งที่เป็นชุมชนที่น่าสนใจ เพราะชุมชนบางที่อาจมีวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนที่อื่น มีสินค้า ภูมิปัญญา แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรให้คนรู้จักหรือจะขายสินค้าอย่างไร จะสื่อสารหรือทำอย่างไรต่อเพื่อให้เป็นที่รู้จักของคนอื่น หรืออีกจุดหนึ่งที่ผู้วิจัยจะได้ทำวิจัยคือ การที่ออกไปทำกิจกรรม หรือไปบริการวิชาการข้างนอกต่าง ๆ
- เมื่อผู้วิจัยจะทำการวิจัยเพื่อการพัฒนาชุมชนนั้นจะต้องทำให้การวิจัยเป็นผลงานวิชาการให้ได้ เนื่องจากทุกคนอาจจะได้ลงพื้นที่ชุมชนไปในพื้นที่ที่หลากหลายชุมชน อาจมีการจัดกิจกรรม หรือการไปทริป ของโครงการต่าง ๆ
- เนื่องจากเกณฑ์มาตรฐานการศึกษาด้านการวิจัยที่กำหนดมาล่าสุด เน้นความเป็นสากล หรือการวิจัยระดับนานาชาติ หรือนำไปจนถึงจดสิทธิบัตร หรือเป็นผลงานสร้างสรรค์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในชุมชนหรือในการเรียน เพราะฉะนั้นในการที่ผู้วิจัยจะนึกหรือคิดในเรื่องของงานวิจัยก็จะต้องนึกถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ด้วย
- ประเด็นซึ่งที่สำคัญอีกประการคือเรื่องของแหล่งทุน ดังนั้นการวิจัยของคณะนิเทศศาสตร์ จะเข้าได้กับแหล่งทุนไหนหรือในลักษณะใดได้บ้าง และในการเข้าสู่ชุมชนหรือการวิจัยในแหล่งชุมชนเกี่ยวกับการวิจัยนี้ได้อย่างไร หรือกองทุนพัฒนาสื่อมีประเด็นที่ดึงเข้าสู่ประเด็นของการทำวิจัยสื่อในลักษณะของการวิจัยของชุมชนได้อย่างไร และในเรื่องของวัฒนธรรม รูปแบบของวัฒนธรรม ซึ่งก็จะมีกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงกีฬาฯ ต่างๆ เหล่านี้ ผู้วิจัยมีอะไรที่จะเชื่อมโยงต่างๆ นี้ได้อย่างไรต้องคำนึงถึงด้วย
- การทำวิจัยจากชุมชนต้องคิดต่อเรื่องการทำบทความวิชาการด้วย งานที่ผู้วิจัยได้จากชุมชนโดยที่ผู้วิจัยได้ไปลงพื้นที่ ซึ่งมีงานวิชาการหลายชิ้นที่ได้ส่งขอตำแหน่งทางวิชาการ และหลายบทความก็ได้มาจากการลงพื้นที่ในการทำวิจัย และการลงพื้นที่เพื่อการทำวิจัยก็ได้แหล่งทุนจากภายนอก เช่น ออมสิน ปากบ่อ
- สำหรับความเป็น Community ถ้าจำกัดในเรื่องของพื้นที่ชุมขน ถ้าเป็นพื้นที่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยฯ อาจจะเสียเปรียบเพราะว่าไม่ใช่เหมือนมหาวิทยาลัยราชภัฏ จะได้เปรียบเพราะอยู่ในพื้นที่ชุมชนท้องถิ่นของตนเอง และมีชุมชนที่จะให้พัฒนาเยอะมาก และถ้าเป็นชุมชน หรือเป็นหมู่คณะ ก็จะทำให้เกิดพื้นที่ได้ และทำให้ผู้วิจัยพัฒนาศึกษาได้หมด แต่ว่าจะได้ผู้วิจัยศึกษาได้หมดหรือไม่ หรือศึกษาได้เฉพาะบางเรื่องบางอย่างเพื่อให้ผู้วิจัยได้เรื่องก็พอ แต่ถ้าผู้วิจัยไม่มีแหล่งทุนก็จะทำให้งานวิจัยลำบากขึ้น
- การวิจัยกับชุมชนผู้วิจัยต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนด้วย และมองชุมชนเป็นเหมือนภาพนิ่ง ไม่ได้เข้าไปแตะอะไรของชุมชน แต่อยากศึกษาประวัติของความเป็นมาของชุมชน วิวัฒนาการของความเป็นอยู่ เช่น ชุมชนปากบ่อ และชุมชนต่าง ๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และอาจนำมาวิเคราะห์ เป็นต้น และผู้วิจัยมองเหมือนภาพนิ่งไม่ได้เข้าไปยุ่ง เพียงแต่ใช้เอกสารในการทำวิจัย และหาโอกาสไปพูดคุยในชุมชนบ้างเพื่อที่จะได้ข้อมูลมาทำวิจัย
- การวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชนให้ระมัดระวังเรื่องความคิด ความเชื่อในชุมชนด้วย เพราะการลงพื้นที่ปัญหาก็คือ ปัญหาที่คนส่วนกลางมองว่าชุมชนมีปัญหาไม่เหมือนกันส่วนกลาง เช่น ในเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธา ความนิยม ของคนในชุมชนไปตัดสินและเข้าไปแก้ไข แต่ก็อาจจะไม่ใช่เป็นความต้องการของชุมชนก็ได้ ดังนั้นควรมองชุมชนอย่างมีคุณค่า
- การลงไปทำงานในชุมชน การเข้าไปในพื้นที่ใหม่ สิ่งที่นักวิจัยต้องควรระวังเพราะนักวิจัยที่ลงพื้นที่ชุมชนนั้นเป็นคนนอก และถ้าเราเดินเข้าไปในชุมชนในฐานะอาจารย์หรือนักวิชาการคำตอบก็จะได้อีกแบบหนึ่ง แต่ว่าถ้าเราสร้างความคุ้นเคยกับชุมชน คำตอบก็จะได้อีกแบบหนึ่ง
- นอกจากนี้ข้อควรระวังในการเป็นนักวิจัยชุมชนคือ “การได้คำตอบที่เป็นความจริงจากชุมชน”ผู้วิจัยจะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้อมูลที่ได้จากชุมชนนั้นเป็นความจริง และผู้วิจัยจะสร้างความมั่นใจให้ชุมชนไว้ใจได้อย่างไร
- งานวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชนยังเป็นงานวิจัยที่จะสามารถตอบโจทย์ในเรื่องของชุมชน ถ้ามองในเชิงของนโยบาย เน้นนวัตกรรม จนถึงเรื่องการจดสิทธิบัตร
คุณจุฬาพร ด้วงทอง ผู้บันทึกการประชุม
ผศ.ดร.นิภากร กำจรเมนุกูล ผู้สรุปองค์ความรู้
ภาพกิจกรรมการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ด้านการวิจัย คณะนิเทศศาสตร์
———————————————————–